วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป

สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)

1. กูเกิล (Google) 36.9%
2. ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%
3. เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%

นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่

- เอโอแอล (AOL Search)
- อาส์ก (Ask)
- เอ 9 (A9)
- ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน

 ประโยชน์ของการค้นข้อมูลโดยใช้ search engine
 1. ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว
 2. สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย
 3. สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูลและซอร์ฟแวร์ เป็นต้น
 4. มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล
 5. รองรับการค้นหา ภาษาไทย



 พื้นฐานการใช้งาน Search
1 พื้นฐานการใช้งาน Search
ส่วน ค้นหาข้อมูล (Search)  เป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูล  สำหรับผู้ใช้ที่มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่แน่นอนว่าต้องการทราบข้อมูล เกี่ยวข้องกับเรื่องใด  แต่ไม่รู้ว่าข้อมูลดังกล่าวอยู่ในส่วนใด  และไม่ต้องการเสียเวลาค้นหาข้อมูลจากเว็บเพจหรือเว็บไซต์จำนวนมาก  ซึ่งในบางครั้งก็ยังไม่พบข้อมูลอีกด้วย  โดยโปรแกรมค้นหาข้อมูลจะจัดกลุ่มขอ้มูลที่เกี่ยวข้องหรือตรงกับ Keyword ที่ผู้ใช้ป้อน  แล้วแสดงผลลัพธ์เป็นรายการผลการค้นหา (Search Engine Results Pages : SERP)  ออกมาให้ผู้ใช้เลือกเข้าไปชมข้อมูลตามที่ต้องการ  แสดงได้ดังรูปที่ 1
รูปที่1.1 ก  แสดงหน้าเว็บของ Search Engine เช่น www.google.com  เพื่อใช้ป้อน Keyword
รูปที่ 1.1 ข  แสดงหน้าเว็บรายการผลการค้นหาของ www.google.com
โดย ทั่วไป  หากกล่าวถึงเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) แล้ว  ผู้อ่านคงจะนึกถึง Search Engine เช่น Google, Yahoo หรือ MSN เท่านั้น  แต่ในความเป็นจริงแล้ว Search Engine ยังสามารถจำแนกตามวิธีการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ออกเป็น 2 ประเภท  ดังนี้
Internal Search Engine
หรือ “Site Search” เป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลที่อยู่ภายในไซต์นั้นโดยเฉพาะ  ยกตัวอย่างเช่น  E-Bay ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เสนอขายสินค้าจากทั่วทุกมุมโลก  ผู้ชมสามารถค้นหารายการสินค้าโดยพิมพ์ Keyword ที่ต้องการลงในช่องป้อนข้อมูล  เช่น  ต้องการค้นหาต่างหูก็พิมพ์คำว่า “earring” เมื่อกดปุ่ม  Search  โปรแกรมจะประมวลผลรายการคำศัพท์จากดัชนีคำศัพท์ในฐานข้อมูลที่ตรงกับคำว่า “earring” ออกมาแสดงผล  ดังรูปที่ 1.2
หมายเหตุ   Internal Search Engine  มักจะนำมาใช้งานกรณีที่เป็นเว็บไซต์เสนอขายสินค้า  และมีรายการสินค้าแยกย่อยหลายชนิดจนไม่สามารถแสดงผลให้อยู่ในเว็บเพจเพียง หน้าเดียวได้  ยกตัวอย่างเช่น  นาฬิกาข้อมือที่มีหลายยี่ห้อ (Brand Name) และแต่ละยี่ห้อก็ยังจำแนกออกเป็นรุ่นต่างๆ อีก  ลักษณะเช่นนี้สามารถสร้าง Search Engine ภายในหน้าเว็บให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูล  อาจเป็นชื่อยี่ห้อหรือรุ่นโดยเฉพาะเพื่อจำกัดกลุ่มรายการสินค้าที่ต้องการ ค้นหาได้
รูปที่ 1.2  ตัวอย่าง Internal Search Engine บนหน้าเว็บ www.ebay.com
External Search Engine
หรือ “Web Search”  เป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลที่อยู่ภายนอกเว็บไซต์  หรือเป็นเว็บที่ค้นหาข้อมูลโดยเฉพาะซึ่งสามารถจำแนกข้อมูลที่ต้องการค้นหา ออกเป็นประเภทต่างๆ  เช่น  ค้นหาเว็บ  รูปภาพ  หรือข่าวสาร  เป็นต้น External Search Engine  จะใช้หลักการทำงานเช่นเดียวกับ Internal Search Engine แต่ต่างกันตรงที่ฐานข้อมูลที่ใช้จัดเก็บดัชนีเพื่อตรวจสอบกับ Keyword จะมีขนาดใหญ่กว่า  เนื่องจากฐานข้อมูลนอกจากจะใช้จัดเก็บดัชนีคำศัพท์แล้ว  จะต้องเก็บชื่อ URL หรือตำแหน่งที่จัดเก็บเพจนั้นไว้ด้วย  เมื่อผู้ชมป้อน Keyword เข้ามา  โปรแกรมจะทำการประมวลผลและแสดงข้อความเชื่อมโยงพร้อมทั้ง URL  ของเว็บเพจที่ต้องการเชื่อมโยงไปถึง  ดังรูปที่ 1.3  สำหรับ External Search Engine ที่ผู้อ่านรู้จักกันเป็นอย่างดี  ได้แก่ Google, Yahoo และ MSN Search
รูปที่ 1.3  ตัวอย่าง External Search Engine บนหน้าเว็บ www.msn.com
สำหรับ หน้า SERP ของ Search Engine ทั้ง 2 ประเภท  จะประกอบด้วย  รายงานผลสรุปของจำนวนข้อมูลที่ค้นหาได้  และรายการเชื่อมโยงที่ค้นหาได้ทั้งหมด (กรณีที่มีข้อมูลจำนวนมาก) เรียงลำดับต่อเนื่องกันไป  แต่หากเป็น SERP ของ External Search Engine จะแสดง URL ที่ข้อความเชื่อมโยงถึงด้วย  เพราะเป็นการค้นหาภายนอกไซต์  ส่วน Internal Search Engine เป็นการค้นหาภายในไซต์จึงไม่จำเป็นต้องแสดง URL
นอก จากนี้หากเปรียบเทียบประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลของ Search Engine ทั้งสองประเภทแล้ว  จะพบว่า External Search Engine สามารถช่วยผู้ใช้ค้นหาข้อมูลได้ประสบความสำเร็จมากกว่า  ด้วยคุณสมบัติความง่ายในการเรียนรู้และง่ายต่อการใช้งานนั่นเอง  ผู้อ่านลองสังเกตว่า External Search Engine ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก  เช่น Google จะไม่เน้นการออกแบบส่วนอินเตอร์เฟส (Interface) ให้มีความสวยงามหรือมีภาพกราฟฟิกมากนัก  แต่มุ่งเน้นด้านประโยชน์ใช้สอย  ดังนั้นหน้าเว็บจึงประกอบด้วยเครื่องมือที่จำเป็นต่อการค้นหาข้อมูลเท่า นั้น  เช่น  ช่องป้อนข้อมูล  ปุ่มกดค้นหา  และตังเลือกประเภทการค้นหา  เป็นต้น  ดังรูปที่ 1.4  การจัดวางองค์ประกอบของเครื่องมือเท่าที่จำเป็นต้องใช้งาน  จะทำให้ผู้ชมไม่ต้องเสียเวลาเพื่อเรียนรู้การใช้งานเครื่องมือแต่ละตัวมาก นัก
รูปที่ 1.4 ก  แสดงการออกแบบส่วนอินเตอร์เฟสกับผู้ใช้ของ www.google.com
รูปที่ 1.4 ข  แสดงการออกแบบส่วนอินเตอร์เฟสกับผู้ใช้ของ www.a9.com
ใน ขณะที่การออกแบบ Internal Search Engine จะเป็นการออกแบบตามสไตล์ของนักพัฒนาเว็บแต่ละคน  ดังนั้นรูปแบบอินเตอร์เฟส  ตำแหน่งการจัดวาง  และวิธีการใช้งานเครื่องมือจึงแตกต่างกันไป  ซึ่งส่วนอินเตอร์เฟสที่เปลี่ยนไปของแต่ละเว็บไซต์  ทำให้ผู้ใช้ต้องเสียเวลาค้นหา (เมื่อตำแหน่งการจัดวางเปลี่ยนไป)  และเสียเวลาเรียนรู้องค์ประกอบนั้น (เมื่อมีทางเลือกในการค้นหาเพิ่มเติม)  เนื่องจากผู้ใช้มักคุ้นเคยกับอินเตอร์เฟสของ External Search Engine  และคาดหวังว่าส่วนค้นหาข้อมูลแบบ Internal Search Engine ก็ควรจะมีลักษณะเช่นเดียวกัน
รูปที่ 1.5 ก  แสดงตัวอย่างการจัดวางตำแหน่งและรูปแบบอินเตอร์เฟสของเว็บwww.amway.com
รูป ที่ 1.5 ข  แสดงตัวอย่างรูปแบบอินเตอร์เฟสของ Internal Search Engine ซึ่งมีการสร้างเครื่องมือกำหนดขอบเขตในการค้นหาบนหน้า เว็บwww.platinumpda.com
ดังนั้นหลักการออกแบบ Internal Search Engine ที่ดี  สิ่งสำคัญประการแรก  คือ  ต้องมีลักษณะอินเตอร์เฟสตรงตามความคาดหวังของผู้ใช้  นั่นคือ  ต้องสอดคล้องกับส่วนอินเตอร์เฟสของ External Search Engine ยกตัวอย่างเช่น  ประกอบด้วยช่องป้อนข้อมูล  ปุ่มกดค้นหา  ป้ายคำอธิบาย  รวมถึงตำแหน่งการจัดวางด้วย  ซึ่งการออกแบบส่วนประกอบดังกล่าวจะได้อธิบายในหัวข้อถัดไป

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
    - รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน
    - พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

    - การประยุกต์ใข้่เทคโนดฯลีสารสนเทศกับการเรียนการสอน



     รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน
   เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 6 รูปแบบ ดังต่อไปนี้ คือ
1. เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ , กล้องดิจิตอล , กล้องถ่ายภาพวีดีทัศน์, เครื่องเอ็กซ์เร

2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล เป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น เทผแม่เหล็ก,จานแม่เหล็ก,จานแสงหรือแสงเลเซอร์,บัตรเอทีเอ็ม
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์
4. เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์,จอภาพ,พลอตเตอร์
5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร,เครื่องถ่ายไมโครฟิล์ม
6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่างๆ เช่น โทรทัศน์,วิทยุกระจายเสียง,โทรเลข,เทเล็กซ์,และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และระยะไกล
   ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
         มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในรูปแบบต่างๆทั้งในธุรกิจ และทางการศึกษา ดังตัวอย่างเช่น
     - ระบบเอทีเอ็ม
     - การบริการและการทำธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ต
     - การลงทะเบียนเรียน
พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
  พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร
      การแสดงออกทางความคิดและความรู้สึกในการใช้รูปแบบของเทคโนโลยีทุกประเภท ที่นำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้างและเผยแพร่สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ ภาพ ข้อความ หรือ ตัวอักษร ตัวเลขและภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น
การใช้อินเตอร์เน็ต
   งานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาพบว่า
         นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง เนื่องจากเห็นว่ามีความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ในขณะที่การใช้อินเตอร์เน็ตของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาส่วนใหญ่ใช้เพื่อการเรียนรู้ การติดตามข่าวสารของสถานศึกษา
ใช้อินเตอร์เน็ต ทำอะไรได้บ้าง
        งานวิจัยชี้ว่า นักศึกษาใช้อินเตอร์เน็ตในการสนทนากับเพื่อนๆ และการค้นข้อมูลจากห้องสมุด
 นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศรูปแบบต่างๆเพื่อเพิ่มพูนความรู้ และประกอบทำรายงาน
สถานที่ที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
       งานวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้าน และมีการใช้อินเตอร์เน็ตที่ห้องสมุดของสถาบัน
นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการใช้หรือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศน้อย ในรูปแบบไหนบ้าง? 
       งานวิจัยชี้ว่า นักศึกษามีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านี้น้อย ได้แก่ ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-Learning วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย (video on Demand) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
   - การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e-Learning)
   - บทเรียนคออมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction - CAI)sinv
      (Computer Aided Instruction )
   - วีดิทัศตามอัธยาศัย (video on Demand -(video on Demand-VOD)
   - หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Books)
   --ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-Learning)
การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e-Learning)

เป็นการศีกษา เรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ( Internet ) หรือ อินทราเน็ต ( Intranet ) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดืโอและมัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรืยนผ่านเว็บบราวเซอร์ ( Web Browser ) โดยผู้เรียนผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อปรึกษา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้ เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติโดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารมี่ทันสมัยสำหรับทุกคน โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ( Learning for all : anyone , anywhere and anytime )

บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( Computer Assisted Intruction - CAI )
คือบทเรียนคอมพิวเตอร์ซึ่นำเสนอสารสนเทศที่ได้ผ่านกระบวนการสร้างและพิจรณามาเป็นอย่างดี โดยมีเนื้อหาวิชาหรือสารสนเทศ แบบฝึกหัด การทดสอบและการให้ข้อมูลป้อนกลับให้ผู้เรียนได้ตอบสนองต่อบทเรียนได้ตามระดับความสามารถของตนเอง เนื้อหาวิชาที่นำเสนอจะอยู่ในรูปมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย อักษร รูปภาพ เสียง หรือ ทั้งภาพทั้งเสียง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการนำหลักการเบื้องต้นทางจิตวิทยาการเรียนรู้มาใช้ในการออกแบบ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน คื่อ บทเรียนคอมพิวเตอร์ซึ่งนำเสนอสารสนเทศที่ได้ผ่าน กระบวนการสร้างและพิจารณามาเปแ็ยอย่างดี โดยมีเนื้อหาวิชาหรือสารสนเทศ แบบฝึกหัด การทดสอบและการให้ข้อมูลป้อนกลับให้ผู้เรียนได้ตอบสนองต่อบทเรียนได้ตามระดับความสามารถของตนเอง เนื้อหาวิชาที่นำเสนอจะอยู่ในรูปมัลตืมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย อักษร รูปภาพ เสียง และ/ทั้ง ภาพและเสียง ซึ่งมีพื้นฐานมารจาก การนำหลักการเบื้องต้น ทางจืตวิทยาการเรียนรู้มาใช้ในการออกแบบ
โดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู้(Learning Behavior) ทฤษฎี การเสริมแรง (Reinforcemment Theory) ทฤษฎีการวางเงือนไขปฎิบัติ (Operant Conditioning Theory) ซึ่งถือว่าความสัมพันธืระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองแลบะการเสริมแรงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีจุดมุ่งหมายนำผู้เรียน ไปสู่การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาศัยการเรียนที่มีการวางโปรแกรมไว้ล่วงหน้า เป็นการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีผลย้อนกลับทันที และเรียนรู้ไปทีละขั้นตอนอย่างเหม่าะสมตามความต้องการและความสามารถของตนเอง
 วีดีทัศน์ตามอัธยาศัย (Vioeo on Demand - VDO)
คือ ระบบการเรียกดู ภาพยนต์ตามสั่งที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกดูภาพยนต์หรือข้อมูลภาพเคลือนไหวพร้อมเสียงได้ตามต้องการ ตามสโลแกนที่ว่า "To view what one wants,when one wants" โดยสามารถใช้งานนี้ได้จากเครื่ีอข่ายสื่อสาร ผู้ใช้งาน ซึ่งอยู่หน้าเครื่องลูกข่าย สามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นภาพเคลือนไหว ได้ทุกเมื่อตามต้องการและสามารถควบคุมข้อมูลวีดีโอนั้นๆ โดยสามารถย้อนกลับ(Rewind) หรือรอไปข้างหน้า(Forward)หนือหยุดชั่วคราว(Pause)ได้เปรียบเสมือนการดูวีดีดอที่บ้านนั่นเอง ทั้งนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายไม่จำเป็นต้ัองดูข้อมูลดียวกัน กล่าว คือสามารถดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(e-biooks) 
คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ต โดยมีเครื่องมือที่จำเป็นในการอ่านหนัง

สือประเภทนี้คือ ฮาร์ดแวร์ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆ พร้อมทั้งติดตั้งระบบปฎิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้อ่าน ข้อความต่างๆ ตัวอย่าง เช่น ออร์แกไนเซอร์ แบบพกพาพีดีเอ เป็นต้น
ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

เป็นแหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่าน เครื่อข่ายอินเทอร์เน็ต 

คุณลักษณะที่สำคัญของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ คือ 

1. การจัดการทรัพยกรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์

2. ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์

3. บรรณารักษ์หรือบุคคลากรของห้องสมุดและสามารถแทรกการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุดได้เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ โดยทางอิเล็กทรอนิดส์

4. ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำส่งสารสนเทศ สู่ผู้ใช้โดยทาง

อิเล็กทรอนิกส์













วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารสนเทศ
ความหมายของสารสนเทศ
   สารสนเทศ หมายถึงข่าวสารที่สำคัญ เป็นระบบข่าวสารที่กำหนดขึ้น และจัดทำขึ้นภายในองค์การต่างๆ ตามความต้องการของเจ้าของหรือผู้บริหารองค์การนั้นๆ
 
   สารสนเทศ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Information หมายถึง ความรู้ที่ได้จากการศึกาาค้นคว้า
สารสนเทศเป็นความรู้และข่าวสารที่สำคัญที่มีลักษณะพิเศษ ทั้งในด้านการได้มาและประโยชน์ในการนำไปใช้ปฏิบัติ
 
   สารสนเทศมีความหมายตามที่ได้มีการให้คำจำกัดความที่ใกล้เคียงกัน ดังนี้
   สารสนเทศ หมายถึงข้อมูลทั้งด้านปริมาณและด้านสุขภาพที่ประมวลจัดหมวดหมู่เปรียบเทียบ
และวิเคราะห์และสามารถนำไปใช้ได้ หรือนำมาประกอบการพิจารณาได้สะดวกกว่าและง่ายกว่า

เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร
        เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที (IT)
 เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อสังคมปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผล
และการแสดงผลสารสนเทศ

องค์ประกอบหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ
       เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย องค์ประกอบ หลัก 2 ส่วนคือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม(Telecommunication Technology)

1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
      คอมพิวเตอร์จัดเป็นเทคโนโลยีหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคปัจจุบัน เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งด้านการบันทึก การจัดเก็บ การประมวลผล การแสดงผล และการสืบค้นหาข้อมูลสารสนเทศเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์แบ่งเป็นเทคโนโลยีย่อยที่สำคัญได้ 2 ส่วน คือเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์
      - เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ทุกชนิดที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงเพื่อเชื่อมโยงจำแนกตามหน้าที่การทำงานออกเป็น 4 ส่วน คือ
         1. หน่วยรับข้อมูล
         2. หน่วยประมวลผลกลางหรืซีพียู : cpu
             (Central Processing Unit)
         3. หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit)
         4. หน่วยความจำสำรอง  ( Secondary Storage Unit)
      - เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ (Software)
หมายถึงโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่หน้าที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
     1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System  Software)
หรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแว์และซอฟต์แวร์ทำงานตามคำสั่ง
     2. ซอฟต์ประยุกต์ (Application Software)
คือชุดคำสั่งที่ผู้ใช้ส่งเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ


2 เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันทั่วไปเช่น  ระบบโทรศัพท์  ระบบดาวเทียม  ระบบเครือข่ายเคเบิล  และระบบสื่อสารอื่นๆ ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน 

  ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ   
       - แผนพัฒนาเศรษฐ์กิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่4 (2520-2524) การมีส่วนร่วมของสารสนเทศเพื่อการศึกษา มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและปฏิบัติการของระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษาขึ้น
       - ในแผนพัฒนาเศรษฐ์กิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ก็ได้มีการเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษามากขึ้น  
      - ในแผนฯ 9 มีการจัดทำแผนหลักเพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการศึกษา
   -  แผนพัฒนาฯข้างต้นทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อวงการศึกษาของประเทศไทยมากขึ้น จะทำให้การศึกษาของชาติมีความเท่าเทียม ทั่วถึง มีคุณภาพ และมีความต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างคุ้มค่า

พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
    
     ยุคที่ 1 การประมวลผลข้อมูล) มีวัตถุประสงค์เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลของรายการประจำ (Transaction Processing) เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร     
     ยุคที่ 2 ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ  มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการ ติดตามผลและวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหารระดับต่าง ๆ    
     ยุคที่ 3 การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ มีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเรียกใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ   
     ยุคที่ 4 ยุคปัจจุบัน หรือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ  มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ 

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
     1.
ให้ความรู้ ทำให้เกิดความคิดและความเข้าใจ
     2.
ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน
     3.
ใช้ประกอบการตัดสินใจ
     4.
ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
     5.
เพื่อให้การบริหารงานมีระบบ

สรุป
       
การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์ในวงการศึกษามีปริมาณที่เพิ่มมาก ขึ้น เนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่างๆ เช่น ดาวเทียมสื่อสาร ใยแก้วนำแสง อินเตอร์เน็ต ก่อให้เกิดระบบคอมพิวเตอร์สำหรับบริหารงานในสถานศึกษาด้านต่างๆ เช่น ระบบบริหารจัดการห้องสมุด และระบบคอมพิวเตอร์เพื่อสนันสนุนการเรียนการสอน เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษายังช่วยให้เกิดการลดความเหลื่อมล้ำของ โอกาสทางการศึกษาการเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาพัฒนาบุคลากร ทางการศึกษาให้มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยี








วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู
Information and Communication Technology for Teachers
รหัส PC54504           3(2-2-5)


คำอธิบายรายวิชา
          ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโยีสารสนเทศและ
การสื่อสาร เช่น ไมโครคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารข้อมูล ระบบเน็ตเวิร์ก
ระบบซอฟต์แวร์ การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เครื่องมือการเข้าถึงสารสนเทศ ทักษะการเข้าถึงสารสนเทศ ฐานข้อมูลสารสนเทศ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และการอ้างอิง ฝึกการปฏิบัติ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานและใช้เทศโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้อย่างเหมาะสม

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Assignment 1

1. จงอธิบายความหมายของคำต่อไปนี้ตามความเข้าใจของนักเรียนเอง
     ตอบ    - เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์
                 - เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ การสื่อสารหรือเครื่อข่าย
                   โทรคมนาคมที่เชื่อมต่อกันและนำไปใช้ในการส่งและรับข้อมูลและมัลติมิเดียเกี่ยวกับความ
                    รู้หรือเหตูการณ์ที่เกิดขึ้น
                 - เทคโนโลยีการสื่อสาร หมายถึง การนำสื่อหรือข้อมูลของฝ่ายหนึ่งส่งให้อีกฝ่ายหนึ่ง
                   ประกอบด้วยผู้ส่งสารหรือแหล่งกำเนิด ช่องทางการส่งข้อมูล
2. Cyber Bully หมายถึงอะไรหรือปรากฎการณ์ใด จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
    ตอบ    - การกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์อาจรวมถึงสิ่งพิมพ์หรือการส่งผ่านข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวของ
                  คนหนึ่งไปยังสถานที่หนึ่งโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของ เช่น การเซฟภาพเจ้านายใส่ชุด
                 ว่ายน้ำในวันพักผ่อนจากเฟชบุ๊คของเจ้านายไปเพยแพร่ เป็นต้น